วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ขนมจีนน้ำยาปลาทูน่า




วันหยุดสุดสัปดาห์ มาทำขนมจีนน้ำยาปลาทูน่าทานกันค่ะทำขนมจีนทานทีไรก็จะทำอยู่ 2 อย่าง คือน้ำยาไก่ กับน้ำยาปลาทูน่าค่ะก่อนหน้านั้นเคยเอาปลาอื่นๆมาลองทำ ไม่ค่อยปลื้มเลยเพราะคาวค่ะ วันนี้จะทำน้ำยาปลาทูน่าค่ะ จะใช้ปลาทูน่าในน้ำเกลือหรือน้ำมันก็ได้ค่ะก็มีแค่เนื้อปลา กระชาย หอมแดง พริกแห้ง กะทิ พริกแกงน้ำยา ใบมะกรูด และเส้นขนมจีนค่ะ

ต้มน้ำพอเดือด ใส่เกลือนิดนึง ใบมะกรูดและกระชาย พริกแห้ง หอมแดงลงไปค่ะ

สักพักก็ตักเอาหอมแดง พริกแห้งมาโขลกรวมกันให้ละเอียดค่ะ
พอละเอียดดีแล้ว จากนั้นก็เอาเนื้อปลาทูน่ามาโขลกให้เข้ากันค่ะ
ตั้งไฟใส่กะทิผัดพริกน้ำยาค่ะ ผัดแป๊บนึงเพราะดิฉันไม่ชอบให้ให้แตกมันค่ะ
จากนั้นก็เอาเนื้อปลาทูน่าที่โขลกใว้ลงผัด แล้วเติมน้ำที่เราต้มใว้ลงไปค่ะ
ปล่อยให้เดือดสักพักแล้วใส่ลูกชิ้นปลา ลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลานิดนึง และต้มให้เดือดอีกครั้งก็เสร็จค่ะเสร็จแล้วค่ะ ขนมจีนน้ำยาปลาทูน่า อร่อยมากๆค่ะ อิอิ

















‘อเมริกันคุกกี้’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีปีใหม่


ใกล้เทศกาลปีใหม่เข้ามาทุกที ซึ่งปีใหม่นอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักแล้ว ยังเป็นช่วงตระเตรียมส่งความสุข ความปรารถนาดี ในหลาย ๆ รูปแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้กับเทศกาลปีใหม่คือของขวัญ ซึ่งในบรรดาขนมที่นิยมใช้เป็นของขวัญนั้น ก็รวมถึง “คุกกี้” และวันนี้ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ...“ส้ม-คิสราภัธต์ ศรีโรจน์” เจ้าของร้าน “เบเกอรี่ บาย คิสรา” ซึ่งรับทำเบเกอรี่โฮมเมด อาทิ คุกกี้ ขนมปัง เค้ก ปัจจุบันได้คิดทำ “อเมริกัน คุกกี้” จำหน่ายด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าอเมริกันคุกกี้นี้เป็นสูตรใหม่ เพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ไม่นาน นอกเหนือจากคุกกี้ข้าวโอ๊ต คุกกี้รัมเรซิ่น คุกกี้เนย คุกกี้ธัญพืช คุกกี้งาดำ คุกกี้กาแฟ “ที่มาของการทำเบเกอรี่โฮมเมด คือการไปเรียนที่สถาบันที่สอน เบเกอรี่ จากนั้นก็มาปรับวิธีทำ และสร้างสูตรให้เป็นของตัวเอง โดยสูตรของเรานั้น คุกกี้จะไม่หวานมาก ทานเพลิน ๆ” ส้มบอกสำหรับอเมริกันคุกกี้ สูตรนี้จะมี “เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบ” และ “ลูกเกดเหลือง-ดำ” เป็นตัวชูโรง โดยแต่งกลิ่นด้วยกลิ่นอัลมอนด์ให้ น่าทานยิ่งขึ้น โรยหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าครบสูตรแบบ อเมริกันคุกกี้จริง ๆ ซึ่งนอกเหนือจากซื้อทานเอง ซื้อฝากผู้อื่น ยังใช้เป็นของขวัญช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ด้วยรายละเอียดของอเมริกันคุกกี้สูตรนี้ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม, แป้งสาลีเค้ก 150 กรัม, เกลือป่น 14 ช้อนชา, เบกกิ้งโซดา 14 ช้อนชา, วานิลลาผง 12 ช้อนชา, นมผง 20 กรัม, ช็อกโกแลตไรซ์ 50 กรัม, เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบทุบ 100 กรัม, มะพร้าวอบ 20 กรัม, ลูกเกดเหลือง–ดำหั่นหยาบ 50 กรัม, เนยสดชนิดเค็ม 100 กรัม, เนยขาว 125 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม, น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม, น้ำหอมกลิ่นอัลมอนด์ 1 ช้อนชา และไข่ไก่ 1 ฟอง นอกจากนี้ ยังใช้ช็อกโกแลตชิพ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ครึ่งซีก สำหรับแต่งหน้าคุกกี้ด้วย วิธีทำ เริ่มจากร่อนแป้งสาลีทำเค้ก และแป้งสาลีอเนกประสงค์ เบกกิ้งโซดา เกลือป่น นมผง และวานิลลาผงเข้าด้วยกัน จากนั้นผสมช็อกโกแลต ไรซ์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกเกด และมะพร้าวอบ ลงในแป้ง ตีผสมเนยเค็มกับเนยขาว น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดง ด้วยหัวตีรูปใบไม้ ด้วยความเร็วต่ำ จนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่น้ำหอมกลิ่นอัลมอนด์ และไข่ไก่ ตีผสมจนเข้ากันทันที และค่อย ๆ ใส่แป้งที่ร่อนไว้ ตีผสมจนเข้ากัน นำเนื้อแป้งคุกกี้ที่ตีเข้ากันแล้ว ปั้นเป็นรูปคุกกี้ตามขนาดต้องการ โดยมีน้ำหนักชิ้นละ 50 กรัม วางลงบนถาดที่เตรียมไว้ โดยต้องทาเนยบนถาดก่อน แต่งหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และช็อกโกแลตชิพ จากนั้นนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ใช้ไฟบน-ล่าง นานประมาณ 8-10 นาที เมื่อครบเวลานำออกจากเตา พักให้เย็น แล้วนำเข้าเตาอบต่ออีกครั้ง อบที่อุณหภูมิ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 7 นาที หรือสังเกตดูว่าคุกกี้มีสีออกเหลืองกรอบ นำออกจากเตา รอให้คุกกี้พออุ่น ๆ จึงบรรจุลงภาชนะ คุณส้มแนะนำว่า คุกกี้นี้ถ้าทานกับชาร้อนอังกฤษ หรือกาแฟร้อนจะอร่อยมาก และถ้าต้องการทานคุกกี้ให้อร่อยยิ่งขึ้น แนะนำให้เก็บไว้ในตู้เย็น และหยิบทานตามต้องการ เมื่อแช่ตู้เย็นคุกกี้จะกรอบอร่อยมาก และยังทำให้อายุคุกกี้เก็บไว้ได้นานมากขึ้น ส่วนราคาขาย “อเมริกันคุกกี้” นั้น อยู่ที่ กก.ละ 700 บาท โดยมีกำไรประมาณ 30% ซึ่งเหตุที่ขายในราคาสูง เพราะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพใครสนใจ “อเมริกันคุกกี้” และเบเกอรี่อื่น ๆ ของ ส้ม-คิสราภัธต์ ศรีโรจน์ ติดต่อได้ที่ โทร.08-1909-0983, 08-1915-3482, 08-0616-9238 ส่วนใครพอมีฝีมือทางการทำขนม-ทำเบเกอรี่ และกำลังคิดจะทำขายรับเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง บางที “คุกกี้” อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี !!. สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/กมล คำแหง : ภาพ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


14 ตุลาฯ มหาวิปโยคลับคมประชาธิปไตยศึกเลือกตั้งครั้งแรกหนึ่งเดียวในกรุงเทพมหานครบทบาทผู้แทนของปวงชนวิกฤตเศรษฐกิจพ่ายแพ้ครั้งแรกผู้นำฝ่ายค้านนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗

14 ตุลาฯ มหาวิปโยค
“ผมสนใจการเมือง เมื่อครั้งที่มีอายุ 9-10 ขวบ ที่ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และได้เห็นคนนับหมื่นนับแสนออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนและต่อสู้โดยยอมเอาชีวิตเข้าแลก คุณพ่อได้อธิบายว่าออกมาเรียกร้องสิทธิ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน จึงตัดสินใจตั้งแต่ครั้งนั้นว่าจะเป็นนักการเมือง ... ตั้งแต่นั้นมา ผมไม่เคยเปลี่ยนใจ” จุดพลิกผันที่ทำให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ “มาร์ค” เริ่มสนใจการเมือง มาตั้งแต่อายุ 9-10 ขวบ เพราะอยากรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร เขาเรียกร้องกันทำไม สิทธิและเสรีภาพของประชาชนหมายถึงอะไร อภิสิทธิ์ได้ใช้ช่วงเวลานี้ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และฟังการถ่ายทอดสดการประชุมสภาผู้แทนทางวิทยุ ความประทับใจในกระบวนการประชาธิปไตยก่อตัวขึ้นในใจเด็กชายตัวเล็กๆและนำมาซึ่งความมุ่งมั่นในทิศทางของประชาธิปไตยตลอดมา “พอเลือกตั้งเสร็จก็มีการประชุมสภา มีการถ่ายทอดสดทางวิทยุเป็นวิธีการในการติดตามข่าวและได้ฟังคนอภิปราย [ขณะนั้น] ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชเป็นนายกฯและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ขณะนั้นได้รับการโจมตีจากฝ่ายค้านรุนแรงมาก คุณชวนท่านลุกขึ้นมาโต้ ผมฟังแล้วประทับใจ ซึ่งบรรยากาศอย่างนั้นทำให้ผมทึ่ง คือคนนำความคิดมาแสดงเห็นตรงกันบ้างเห็นต่างกันบ้าง นี่คือการเมือง คือการนำความคิดมาเพื่อบอกว่าบ้านเมืองน่าจะเป็นอย่างไร” เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ในต้นปี 2519 อภิสิทธิ์เดินทางไปเรียนหนังสือต่อในชั้นมัธยมที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม แต่ก็ได้พยายามติดตามข่าวสารของประเทศไทยจากจดหมายหรือหนังสือพิมพ์ที่ขอให้คุณพ่อส่งไปให้อ่าน แม้ว่าการที่ต้องไปเรียนทำให้ต้องห่างจากเหตุการณ์ในประเทศไทย แต่ความคิดในการทำงานทางการเมืองของ อภิสิทธิ์มิได้ห่างไปด้วย

หลังจากอภิสิทธิ์เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่อีตันกลับมาประเทศไทย ได้ใช้เวลาว่างไปฝึกงานที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับช่วงเวลานั้นประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งทั่วไป อภิสิทธิ์ได้สมัครเข้าเป็นอาสาสมัครในทีมช่วยหาเสียงให้คุณพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเดินรณรงค์ในแถบชุมชนแออัดคลองเตยหลังการเลือกตั้ง อภิสิทธิ์ทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือได้รับมอบหมายให้ดูงานด้านวิชาการให้กับคุณชวน หลีกภัย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และได้มีโอกาสตามไปเป็นล่ามตอนคุณชวน หลีกภัยเดินทางไปปากีสถาน บังคลาเทศและเนปาล คุณชวน หลีกภัยเล่าถึงอภิสิทธิ์ในกรณีนี้ว่า “ช่วงนั้นเขาเป็นนักเรียนที่อังกฤษมาฝึกงาน ...เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาตั้งแต่เด็กมอบอะไรให้เขาก็ทำได้ เขามีความพิเศษมากกว่าคนอื่น ... แล้วอีกอย่างคือความเป็นคนมีอุดมการณ์ อันนี้สำคัญมาก” ในทางกลับกันอภิสิทธิ์ก็ชื่นชมคุณชวนมาก โดยกล่าวถึงคุณชวนว่า “ผมประทับใจท่านมาโดยตลอด ท่านพูดได้นุ่มนวล คมและยืนอยู่บนหลักการ ท่านมีความตั้งใจ โดยไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์หรือความผันผวนที่เกิดขึ้น ท่านเป็นนักการเมืองอาชีพ เป็นสากลอย่างที่ต่างประเทศเขาเป็นกัน

คือทำทุกอย่างเป็นระบบเติบโตอย่างมีครรลอง คนยอมรับในความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบารมีท่านเอง”“ผมชื่นชมกับคนที่ยึดมั่นในแนวความคิดและอุดมการณ์ของตน

ศึกเลือกตั้งครั้งแรก

“[อภิสิทธิ์]เป็นประธานนักเรียนที่ดีที่สุด มีผลงานมากที่สุดคนหนึ่ง”- กรณ์ จาติกวณิช อภิสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเรียนในสาขาวิชาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ซึ่งเป็นสาขาวิชาเรียนของผู้สนใจที่จะประกอบอาชีพนักการเมืองในอนาคต ในช่วงที่เรียนในมหาวิทยาลัย สมัยนั้นประเทศอังกฤษมีนายกรัฐมนตรีชื่อมาร์การ์เร็ต แธชเชอร์ หลายเรื่องที่นักศึกษาไม่เห็นด้วยก็จัดกิจกรรมรวมตัวกันไปประท้วง และอภิสิทธิ์ก็เข้าไปร่วมด้วยเสมอ ด้วยแนวคิดที่อิงประชาชนเป็นหลัก เมื่อขึ้นชั้นปีที่สอง อภิสิทธิ์ได้ลงสมัครเป็นประธานนักศึกษา ปรากฏว่าได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เนื่องจากชื่อเสียงในแง่การเรียน ความสามารถและเป็นนักกิจกรรมตัวยง ในสมัยของอภิสิทธิ์ งานกิจกรรมนักศึกษาได้นำการถกเถียงเข้าสู่วาระการประชุมสภามหาวิทยาลัยทั้งเรื่องหลักสูตร ประเด็นปัญหาทางการเมือง และบทบาทในแนวทางประชาธิปไตยของนักศึกษา การบริหารในฐานะประธานนักศึกษาของอภิสิทธิ์จึงได้รับการพูดถึงอยู่ตลอด อภิสิทธิ์จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และเดินทางกลับมาทำงานเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่เขาชะโงกเป็นเวลาเกือบสองปี แล้วได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และเมื่อจบการศึกษาก็กลับมาทำงานเป็นอาจารย์ในคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หนึ่งเดียวในกรุงเทพมหานคร
“เขามีบุคลิกที่ดึงดูดใจคน ชอบเลย รักเลย คุณอภิสิทธิ์เขามีตรงนี้มาก” ดร.เจริญ คันธวงศ์ 23 กุมภาพันธ์ 2534 เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยกลุ่มทหารที่เรียกตนเองว่า”คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” หรือ ร.ส.ช. ชื่อของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปรากฏตามสื่อเป็นครั้งแรกด้วยบทบาทหน้าที่ของนักวิชาการที่คัดค้านการกระทำอันไม่เหมาะสมของคณะ ร.ส.ช. รวมถึงไม่เห็นด้วยกับการที่คุณพ่อของเขา(น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของร.ส.ช. แต่ต่างฝ่ายต่างก็เคารพในการตัดสินใจของกันและกัน คณะร.ส.ช.จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2535 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอายุขณะนั้น 27 ปี ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และก็ได้เป็นส.ส.หนึ่งเดียวของพรรคในกรุงเทพฯ พร้อมกับการเกิดกระแสอภิสิทธิ์ฟีเวอร์หลังการเลือกตั้งไม่กี่วัน ดร.เจริญ คันธวงศ์กล่าวถึงผู้ร่วมทีมเขต 6 หน้าใหม่ว่า “เขามีบุคลิกที่ดึงดูดใจคน ชอบเลย รักเลย คุณอภิสิทธิ์เขามีตรงนี้มาก” แต่อายุสภาชุดนี้เพียงสามเดือน กลุ่มนักการเมืองและประชาชนคัดคัานการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา คราประยูร จนเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองอันรุนแรง